欧博abgโครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น

โครงสร้างและหน้าที่ของลาต้น

STEM
- ลาต้น (Stem) เป็นอวัยวะหรือส่วนของพืช ซึ่งมักจะเจริญขึ้นเหนือ
ดิน ในทิศทางต้านต่อแรงดึงดูดโลก (Negative geotropism) ซึ่งเป็น
ทิศทางที่เจริญตรงกันข้ามกัน
- ลาต้น ยังเป็นที่เกิดของใบอีกด้วย ในช่วงที่ลาต้นยังอ่อนอยู่มักจะมี
สีเขียวเนื่องจากสีของคลอโรฟิลล์
- ลักษณะของลาต้นที่แตกต่างจากราก คือ มีข้อ (Node) และปล้อง
(Internode) บริเวณที่เป็นข้อมักพบตา (Bud) ที่จะเจริญต่อไปเป็นกิ่ง
หรือดอก

โครงสร้างภายในของลาต้นพืช
- เอพิ เ ดอร์ มิ ส อยู่ ด้ า นนอกสุ ด ปกติ มี อ ยู่ เ พี ย งแถวเดี ย วอาจ
เปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์คุม (Guard cell)
- คอร์ เทกซ์ ชั้น คอร์เทกซ์ ของลาต้นแคบกว่าของราก เซลล์ในชั้น
คอร์เทกซ์ ส่วนใหญ่เป็นเซลล์พาเรงคิมา
- วาสคิวลาร์ บันเดิลหรือมัดท่ อลาเลียง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อไซเล
มอยู่ด้านในและโฟลเอ็มอยู่ด้านนอก
- พิธ เป็นเนื้อเยื่อชั้นในสุดของลาต้น เนื้อเยื่อส่วนนี้คือ พาเรงคิมา
ทาหน้าที่สะสมอาหารพวกแป้งหรือสารอื่น ๆ เช่น ลิก นิน ผลึ ก
แทนนิน (Tannin)

โครงสร้างของลาต้นจากปลายยอด
แบ่งเป็น 4 ส่วน
1. เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด (Apical meristem) จะแบ่งเซลล์
แบบไมโตซิส เป็นบริเวณปลายสุดของลาต้น เซลล์บริเวณนี้จะ
แบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา
2. ใบเริ่มเกิด (Leaf primordium)
3. ใบอ่อน (Young leaf)
4. ลาต้นอ่อน (Young stem)

โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น

1. เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด (APICAL
MERISTEM)
เป็นบริเวณปลายสุดของลา
ต้น เซลล์บริเวณนี้จะแบ่งตัวอยู่ตลอด
เวลา

2. ใบเริ่มเกิด (LEAF PRIMORDIUM)
อยู่ตรงด้านข้างของปลายยอดส่วน
ที่ เ ป็ น ขอบของความโค้ ง ถ้ า พื ช
ตัวอย่างที่ศึกษามีใบตรงข้ามกันจะ
เห็นใบเริ่มเกิดอยู่ 2 ข้าง ใบเริ่มเกิด
นี้ต่อไปจะเจริญพัฒนาเป็นใบอ่อน
ตรงโคนของใบเริ่มเกิดจะเห็นเซลล์
ขนาดเล็ ก รู ป ร่ า งยาวเรี ย งตั ว เป็ น
แนวยาวจากลาต้นไปจนถึงใบอ่อน

3. ใบอ่อน (YOUNG LEAF)
เป็ น ใบที่ ยั ง เจริ ญ เติ บ โตไม่ เ ต็ ม ที่
เซลล์ของใบยังมีการแบ่งเซลล์ และ
เจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงต่อไป อีก
จนในที่สุดจะได้เป็นใบที่เจริญเต็มที่

4.

ลาต้นอ่อน (YOUNG STEM)
อยู่ถัดจากตาแหน่งใบเริ่มเกิดลงมา ลา
ต้ น ส่ ว นใต้ ใ บอ่ อ นก็ ยั ง เป็ น ล าต้ น
ระยะที่ ยั ง เจริ ญ ไม่ เ ต็ ม ที่ กล่ า วคื อ
เซลล์ บ างบริ เ วณอาจพั ฒ นาไปจน
เจริญเต็มที่ในระดับหนึ่งแล้วแต่บาง
บริเ วณยังแบ่ง เซลล์ เ พื่ อ เพิ่ ม จ านวน
แ ล ะ ข ย า ย ข น า ด ต่ อ ไ ป ไ ด้ อี ก

โครงสร้างภายในของลาต้น
เมื่ อ นาปลายยอดของพืชมาตัดตามขวางบริ เวณเซลล์เจริ ญ เต็ม ที่ จ ะพบว่า
โครงสร้าง ภายในประกอบด้วยเนื้อเยื่อชนิดต่างๆตามแต่ชนิดของพืชโดยแบ่งได้ดังนี้

1.โครงสร้างภายในของลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่
2.โครงสร้างภายในของลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว

1. โครงสร้างภายในของลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่
1. epidermis

เป็ น เนื้ อ เยื่ อ ที่ อ ยู่ ชั้ น นอกสุ ด ท าหน้ า ที่ ป้ อ งกั น
อันตรายให้แก่เนื้อเยื่อภายในของลาต้น ส่วนใหญ่เซลล์
เรียงตัวเพียงชั้นเดียว พืชบางชนิด epidermis มีการ
เปลี่ยนแปลงไปเป็นส่วนของ trichome / hair และ guard
cell
ในต้นพืชที่อายุมากส่วนใหญ่แล้วส่วนของ epidermis
จะหลุดหายไปเพราะถูกแทนที่ด้วยส่วนของคอร์ก

1. โครงสร้างภายในของลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่
2. cortex (คอร์เทกซ์)



คอร์เทกซ์ เป็นชั้นของลาต้นที่มีอาณาเขตตั้งแต่ใต้
epidermis เข้ามาจนถึงเนื้อเยื่อเอนโดเดอมิส
( endodermis) ดั ง นั้ น ใ น ชั้ น ค อ ร์ เ ท ก ซ์ จึ ง
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชนิดต่างๆได้แก่

ชนิด
parenchyma
chlorenchyma
aerenchyma

รายละเอียด และ หน้าที่
เป็นเนื้อเยื่อส่วนใหญ่ที่พบภายในลาต้น

ทาหน้าที่ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ด้วย
แสง
ทาหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสะสม
อากาศ โดยเฉพาะพืชน้า

collenchyma

เพิ่มความแข็งแรงให้แก่ลาต้น

sclerenchyma(fiber)

ให้ความแข็งแรงแก่ลาต้น

3. stele (สตีล)
สตีลเป็นชั้นที่ถัดเข้ามาจากชั้นคอร์เทกซ์ โดยมีอาณาเขตตั้งแต่ใต้
endodermis เข้ามาจนถึงใจกลางของลาต้น แต่เนื่องจากในลาต้นเนื้อเยื่อ
endodermis ส่วนใหญ่เห็นได้ไม่ชัดเจนหรือหนังสือบางเล่มก็กล่าวว่าใน
ลาต้นจะไม่มีเนื้อเยื่อ endodermis ทาให้ชั้นสตีลในลาต้นแบ่งแยกออก
จากชั้นคอร์เทกซ์ได้ไม่ชัดเจนเหมือนในส่วน ของรากพืช ภายในชั้นสตีล
จะประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่สาคัญ คือ

3.1 VASCULAR BUNDLE
หมายถึงกลุ่มของเนื้อเยื่อที่ทาหน้าที่เกี่ยวข้องกับการลาเลียง
ภายในเนื้อเยื่อ VASCULAR BUNDLE ของพืชใบเลี้ยงคู่ประกอบด้วย กลุ่ม
เนื้อเยื่อลาเลียงอาหาร(PHLOEM) เรียงตัวอยู่ทางด้านนอกและกลุ่มเนื้อเยื่อ
ลาเลียงน้า(XYLEM) เรียงตัวอยู่ทางด้านในหรือด้านที่ติดกับ PITH ระหว่าง
XYLEM กับ PHLOEM จะมีเนื้อเยื่อเจริญที่เรียกว่า VASCULAR CAMBIUM
คั่นกลางอยู่ทาหน้าที่แบ่งเซลล์เพื่อให้กาเนิด XYLEM และ PHLOEM

3.2 VASCULAR RAY

วาสคิวลาร ์ เรย ์ เป็ นเซลลพาเรงคิ
์
มาทีอยูระหวางกลุมทอลาเลียงใน
่ ่
่
่ ่
ใบพืชเลียงคู่ ทีกลุมทอลาเลียง
้
่ ่ ่
เรียงตัวเป็ นวง เชือมตอระหวาง
่
่
่
คอเทกซและพิธ
์

3.3 PITH
เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ส่วนกลางของลาต้น ส่วนใหญ่เป็น
เนื้อเยื่อประเภท PARENCHYMA จึงทาหน้าที่ในการสะสมสาร
ต่างๆ ลาต้นของพืชใบเลี้ยงคู่บางชนิดเนื้อเยื่อในส่วนนี้อาจ
สลายไปกลายเป็น ช่องกลวงกลางลาต้น เรียกช่องนี้ว่า PITH
CAVITY

2. โครงสร้างภายในของลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
1. epidermis

เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นนอกสุด ทาหน้าที่ป้องกันอันตราย
ให้แก่เนื้อเยื่อภาย ในของลาต้น ส่วนใหญ่เซลล์เรียงตัวเพียงชั้น
เดียวและมีอยู่ตลอดไป ยกเว้นใน ต้นพืชตระกูลปาล์มจะมี
เฉพาะในปีแรกเท่านั้นเพราะต่อมาจะมีเนื้อเยื่อคอร์ก (cork) มา
แทน

2. โครงสร้างภายในของลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
2. Cortex

มีเนื้อเยื่อบางๆ 1-2 ชั้น ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อชนิด
parenchyma และส่วนใหญ่ไม่พบ endodermis ทาให้อาณาเขต
แบ่งได้ไม่ชัดเจน

2. โครงสร้างภายในของลาต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
. stele

3

3.1vascular bundle
กลุ่มของเนื้อเยื่อลาเลียงของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ส่วนของ xylem,
phloem จะเรียงตัวกันมองคล้ายๆใบหน้าคน มีส่วนของ vessel อยู่บริเวณ
คล้ายดวงตา ส่วน phloem อยู่บริเวณคล้ายหน้าผาก xylem และ phloem
จะถูกล้อมรอบด้วยเนื้อเยื่อ parenchyma หรืออาจเป็น sclerenchyma และ
เรียกเซลล์ที่มาล้อมรอบนี้ว่า bundle sheath vascular bundle ของพืชใบ
เลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่ไม่พบเนื้อเยื่อเจริญ vascular cambium ยกเว้นหมากผู้
หมากเมีย และพืชตระกูลปาล์ม

3.2 PITH

เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ส่วนกลางของลาต้น ส่วนใหญ่เป็น
เนื้อเยื่อประเภท PARENCHYMA พืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด
เช่น ข้าวโพด ในเนื้อเยื่อของ PITH นี้จะพบ VASCULAR
BUNDLE กระจายอยู่เต็ม นอกจากนี้พืชบางชนิดเนื้อเยื่อใน
ส่วนนี้อาจสลายไปกลายเป็นช่องกลวงกลางลา
ต้น เรียกว่า PITH CAVITY เช่นต้นไผ่ ต้นข้าว เป็นต้น

วงปี
 ในรอบ 1

ปี วาสคิวลาร์แคมเบียมของพืชที่มีเนื้อไม้จะมีการแบ่ง
เซลล์สร้างไซเลมและโฟลเอ็มขั้นที่ 2 จานวนมากน้อยต่างกันในแต่
ละฤดูขึ้นอยู่กับปริมาณน้าและธาตุอาหาร
- ในฤดูที่สิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ดี เช่น ฤดูฝน เซลล์ชั้นไซเลม
จะเจริญเร็วมีขนาดใหญ่ทาให้ได้ชั้นไซเลมกว้าง และมีสีจาง
- ในฤดูแล้ง เซลล์ชั้นในไซเลมจะเจริญช้ามีขนาดเล็กเบียดกัน
แน่นทาให้เห็นแถบแคบๆและมีสีเข้ม
ลักษณะดังกล่าวทาให้เห็นเนื้อไม้มีสีจางและเข้มสลับกันมองเห็น
เป็นวงเรียกว่า วงปี

การเจริญของลาต้นพืชในแต่ละช่วงทาให้เกิดเป็นวงปี
 วงปี

เกิดจากการเจริญเติบโตทุตยภูมของเนื้อเยือ
ิ
ิ
่
แคมเบียมในพืชใบเลียงคู่
้
 พบในรากและลาต้น แตเห็ นชัดในลาต้นมากกวา
่
่
ในราก
 จานวนวงก็จะมากน้อยตามอายุของตนไม้
้
 ฤ ดู ฝ น แ ค ม เ บี ย ม ว ่ อ ง ไ ว แ บ ่ ง ตั ว
เร็ว secondary xylem จานวนมาก เซลลมีผนัง
์
เซลลคอนขางบาง (สี จาง)
้
์ ่
 ฤดูแลง(ร้อน+หนาว) แคมเบียม เฉื่ อยชาจึงแบงตัว
้
่
ช้ า
( ห รื อ ไ ม่ แ บ่ ง เ ล ย )
ได้ secondary xylem จานวนน้อยและมีขนาด

บ

วงปี บอกอะไรไดบาง
้ ้

อ ก ร ะ ย ะ เ ว ล า ห รื อ อ า ยุ ที่ พื ช
เจริญเติบโต
บอกถึงระยะเวลาของฤดูน้ามากในพืนที่
้
นั้นๆ
บอกถึงลักษณะการเจริญเติบโตของต้น
พืช
บอกว ่ าพืช ชนิ ด นั้ น อยู่ ในพื้น ที่ท ี่ม ีช่ วง
ฤดูกาลทีแตกตางกัน
่
่
บอกข้ อมู ล ปริม าณน้ า ฝนที่ต กต ่ อเนื่ อ ง

โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น

ลาตนพืชทีโตเต็มทีเมือตัดตามขวาง
่
่ ่
้

โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น

โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น

หน้าที่และชนิดของลาต้น
โดยทั่วไปสามารถจาแนกลาต้นออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆด้วยกันคือ

1.ลาต้นเหนือดิน(aerial stem/terrestrial stem)
creeping stem คือลาต้นที่
ทอดหรื อ เลื้ อ ยขนานไปตาม
ผิ ว ดิ น ห รื อ ผิ ว
น้า เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด
ฟั ก ทอง สตรอเบอรี่ และ
หญ้า เป็นต้น

1. climbing stem ลาต้นเลื้อยขึ้นสูง
คือลาต้นที่ไต่ขึ้นที่สูงโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ถ้ามีหลักหรือต้นไม้ที่ลาต้นตั้ง
ตรงอยู่ใกล้ๆจะถูกใช้ไต่ขึ้นไป แบ่งออกเป็น
twining stem ลาต้นไต่ขึ้นที่สูงโดยใช้ลาต้นพันกับหลักเป็นเกลียว เช่น
เถาวัลย์ ต้นถั่ว บอระเพ็ด ฝอยทอง เป็นต้น

stem tendril ลาต้นไต่ขึ้นที่สูงโดยใช้ส่วนของลาต้นดัดแปลงไปเป็นมือเกาะ
(tendril) เพื่อพันหรือไต่ขึ้นที่สูง ส่วนของ tendril จะบิดเป็นเกลียวคล้าย
สปริงเพื่อให้ยืดหยุ่น เช่น ต้นองุ่น บวบ แตงกวา กระทก
รก โคกกระออม พวงชมพู เป็นต้น

root climber ลาต้นไต่ขึ้นที่สูงโดยใช้รากซึ่งออกมาตามข้อ ยึดหลัก
หรือต้นไม้ เช่น ต้นพริกไทย พลู และพลูด่าง เป็นต้น

stem spine / stem thorn ลาต้นที่ดัดแปลงไปเป็นหนามหรือขอ
เกี่ยว (hook) เพื่อไต่ขึ้นที่สูง เช่น ต้นเฟื้องฟ้า ไผ่ ไมยราบ และ
พืชตระกูลส้ม เป็นต้น

cladophyll / phylloclade / cladode คือลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะหรือ
หน้าที่คล้ายใบ เช่น ลาต้น แป็นแผ่นแบน
หรือมีสีเขียวของคลอโรฟีลล์
ได้แก่ กระบองเพชร พญาไร้ใบ หน่อไม้ฝรั่ง โปร่งฟ้า เป็นต้น

bulbil / crown / slip คือลาต้นที่เป็นตาหรือหน่อเล็กๆ สั้นๆ ที่ประกอบด้วย
ยอดอ่อนและใบเล็กๆ 2-3 ใบ แตกออกระหว่างซอกใบกับลาต้น หรือแตกออก
จากยอดของลาต้นแทนดอก เมื่อมันหลุดร่วงลงดินก็สามารถเจริญเป็นต้นใหม่
ได้ เช่น หอม กระเทียม สับปะรด เป็นต้น

2. ลาต้นใต้ดิน (underground stem)
rhizome คือลา ต้นใต้ดินที่เรียกกันว่า แง่ง หรือเหง้า ส่วนใหญ่ขนานกับพื้นดิน มีข้อปล้อง
เห็นได้ชัดเจน ตามข้อมีใบที่เป็นแปลงเป็นสีน้าตาล ได้แก่ ขิง ข่า ขมิ้น บางชนิดอาจตั้ง
ตรง เช่น กล้วย พุทธรักษา เป็นต้น

tuber ลาต้นใต้ดินที่สะสมอาหาร ทาให้อวบอ้วน แต่บริเวณที่เป็นตาจะไม่อ้วนออกมา
ด้วยทาให้เห็นเป็นรอยบุ๋ม ได้แก่ มันฝรั่ง เป็นต้น

corm เป็นลาต้นใต้ดินที่ตั้งตรงเช่นเดียวกับ bulb มีลักษณะคล้ายกันแต่เก็บสะสม
อาหารไว้ในลาต้นจนทาให้เห็นลาต้นอวบอ้วน ตามข้อมีใบเกล็ดบางๆหุ้ม มีตางอก
ตามข้อ เช่น เผือก แห้วจีน เป็นต้น

โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น

THE END

2025-08-21 14:17 点击量:0